วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ลูกแรดเตรียมพร้อมล่าเหยื่อ

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนเตรียมฝึกวิชาชีพการบริหารธุรกิจ 3

สิ่งที่ได้รับ คือ
1.การแต่งกายอย่างมีระเบียบ
2.การมีระเบียบวินัย
3.การตรงต่อเวลา
4.การมีบุคคลิกภาพที่ดี
5.มีการรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
6.มีกิริยามารยาท
7.มีความสามารถในการสร้างสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม
8.มีความรักและความผูกพันธ์กับบุคคลอื่น
9.ได้เรียนรู้ในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนในแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การประกันคุณภาพของนักศึกษา การพัฒนาบุคลิคภาพ เรื่องคุณธรรม จริยธรรม เรื่องการเงินส่วนบุคคล Bussiness Intelligence วัฒนธรรามข้ามชาติ เป็นต้น
10.ได้มีการทดสอบความรู้วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษในการที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

วันสุดท้ายของการเรียนเตรียมฝึก

ได้มีทีมงานพระมหาสมปอง

บรรยายโดยพระมหาสมพงษ์

ได้ให้ข้อคิด

-อย่ามองข้ามสิ่งเล็กน้อย
-มนุษย์จะพัฒนาตามที่ตัวเองคิด
-อย่ามองกันแค่เปลืองนอก
-เรื่องของน้ำใจ

DTS 10 08/09/2009

iostream

#include

#include

using namespace std;



int main()

{

char FirstName[30], LastName[30];

int Age;

char FileName[20];



cout << "Enter First Name: ";

cin >> FirstName;

cout << "Enter Last Name: ";

cin >> LastName;

cout << "Enter Age: ";

cin >> Age;



cout << "\nEnter the name of the file you want to create: ";

cin >> FileName;

ofstream Students(FileName, ios::out);

Students << FirstName << "\n" << LastName << "\n" << Age;



cout << "\n\n";

return 0;

}

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

DTS 09- 28/09/2552

การเรียงลำดับ (sorting) เป็นการจัดให้เป็นระเบียบ
มีแบบแผน ช่วยให้การค้นหาสิ่งของหรือข้อมูล ซึ่งจะสามารถ
กระทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
การเรียงลำดับอย่างมีประสิทธิภาพ
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อเลือกวิธีการเรียงลำดับที่
ดี และเหมาะสมกับระบบงาน เพื่อให้ประสิทธิภาพในการ
ทำงานสูงสุด ควรจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) เวลาและแรงงานที่ต้องใช้ในการเขียนโปรแกรม
(2) เวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ต้องใช้ในการทำงานตาม
โปรแกรมที่เขียน
(3) จำนวนเนื้อที่ในหน่วยความจำหลักมีเพียงพอ
หรือไม่
วิธีการเรียงลำดับ
เนื่องจากมีวิธีการมากมายที่สามารถใช้ในการเรียงลำดับ
ข้อมูลได้ บางวิธีก็มีขั้นตอนการจัดเรียงเป็นแบบง่าย ๆ ตรงไป
ตรงมา แต่ใช้เวลาในการจัดเรียงลำดับนาน และบางวิธีก็มี
ขั้นตอนในการจัดเรียงลำดับแบบซับซ้อนยุ่งยากแต่ใช้เวลา
ในการจัดเรียงไม่นานนัก ดังนั้นจึงควรศึกษาวิธีการจัดเรียง
ลำดับด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อเลือกใช้วิธีการที่ดีและเหมาะสม
กับระบบงานนั้นที่สุด วิธีการเรียงลำดับสามารถแบ่งออกเป็น
2 ประเภท คือ
(1)การเรียงลำดับแบบภายใน (internal sorting)
เป็นการเรียงลำดับที่ข้อมูลทั้งหมดต้องอยู่ใน
หน่วยความจำหลัก เวลาที่ใช้ในการเรียงลำดับจะ
คำนึงถึงเวลาที่ใช้ในการเปรียบเทียบและเลื่อน
ข้อมูลภายในความจำหลัก
(2) การเรียงลำดับแบบภายนอก
(external sorting) เป็นการเรียงลำดับข้อมูลที่
เก็บอยู่ในหน่วยความจำสำรอง ซึ่งเป็นการ
เรียงลำดับข้อมูลในแฟ้มข้อมูล (file) เวลาที่ใช้ใน
การเรียงลำดับต้องคำนึงถึงเวลาที่เสียไประหว่าง
การถ่ายเทข้อมูลจากหน่วยความจำหลักและ
หน่วยความจำสำรองนอกเหนือจากเวลาที่ใช้
ในการเรียงลำดับข้อมูลแบบภายใน
การเรียงลำดับแบบเลือก (selection sort)
ทำการเลือกข้อมูลมาเก็บในตำแหน่งที่ ข้อมูลนั้นควรจะอยู่ทีละ
ตัว โดยทำการค้นหาข้อมูลนั้นในแต่ละรอบแบบเรียงลำดับ
ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไป
การเรียงลำดับแบบฟอง (Bubble Sort)
เป็นวิธีการเรียงลำดับที่มีการเปรียบเทียบข้อมูลใน
ตำแหน่งที่อยู่ติดกัน
1. ถ้าข้อมูลทั้งสองไม่อยู่ในลำดับที่ถูกต้องให้สลับตำแหน่ง
ที่อยู่กัน
2. ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไปมากให้นำข้อมูลตัวที่มี
ค่าน้อยกว่าอยู่ในตำแหน่งก่อนข้อมูลที่มีค่ามาก ถ้า
เป็นการเรียงลำดับจากมากไปน้อยให้นำข้อมูล ตัวที่มี
ค่ามากกว่าอยู่ในตำแหน่งก่อนข้อมูลที่มีค่าน้อย
การเรียงลำดับแบบเร็ว
เป็นวิธีการเรียงลำดับที่ใช้เวลาน้อยเหมาะ
สำหรับข้อมูลที่มีจำนวนมากที่ต้องการความรวดเร็ว
ในการทำงาน วิธีนี้จะเลือกข้อมูลจากกลุ่มข้อมูล
ขึ้นมาหนึ่งค่าเป็นค่าหลัก แล้วหาตำแหน่งที่ถูกต้อง
ให้กับค่าหลักนี้ เมื่อได้ตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ใช้
ค่าหลักนี้เป็นหลักในการแบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วน
ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไปมาก ส่วนแรกอยู่
ในตอนหน้าข้อมูล ทั้งหมดจะมีค่าน้อยกว่าค่าหลักที่
เป็นตัวแบ่งส่วนอีกส่วนหนึ่งจะอยู่ในตำแหน่งตอนหลังข้อมูล
ทั้งหมด จะมีค่ามากกว่าค่าหลัก แล้วนำแต่ละ
ส่วนย่อยไปแบ่งย่อยในลักษณะเดียวกันต่อไป
จนกระทั่งแต่ละส่วนไม่สามารถแบ่งย่อยได้อีก
ต่อไปจะได้ข้อมูลที่มีการเรียงลำดับตามที่
ต้องการ
การเรียงลำดับแบบแทรก (insertion sort)
เป็นวิธีการเรียงลำดับที่ทำการเพิ่มสมาชิกใหม่เข้าไปใน
เซต ที่มีสมาชิกทุกตัวเรียงลำดับอยู่แล้ว และทำให้เซตใหม่
ที่ได้นี้มีสมาชิกทุกตัวเรียงลำดับด้วย วิธีการเรียงลำดับจะ
1. เริ่มต้นเปรียบเทียบจากข้อมูลในตำแหน่งที่ 1 กับ 2
หรือข้อมูลในตำแหน่งสุดท้ายและรองสุดท้ายก็ได้
ถ้าเป็นการเรียงลำดับจากน้อยไปมาก
2. จะต้องจัดให้ข้อมูลที่มีค่าน้อยอยู่ในตำแหน่งก่อน
ข้อมูลที่มีค่ามาก และถ้าเรียงจากมากไปน้อยจะก็จะ
จัดให้ข้อมูลที่มีค่ามากอยู่ในตำแหน่งก่อน
เช่น ต้องการเรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก และ
เริ่มต้นนำข้อมูล 2 ตัวแรกมาเปรียบเทียบ ให้ข้อมูลที่มีค่า
น้อยกว่าอยู่ในตำแหน่งแรก จะได้ข้อมูลในเซตที่เรียงลำดับ
แล้วมีสมาชิก 2 ตัว จากนั้นนำสมาชิกใหม่เข้ามาโดยเริ่ม
เปรียบเทียบกับสมาชิกในเซตทีละตัว จะเริ่มเปรียบเทียบ
ตั้งแต่ตัวแรกหรือตัวหลังสุดก็ได้ ถ้าเปรียบเทียบตั้งแต่ตัว
แรกจะต้องหาตำแหน่งสมาชิกที่มีค่ามากกว่าสมาชิกใหม่
แล้วทำการถอยทุกค่าไปหนึ่งตำแหน่งตั้งแต่ตำแหน่งนั้นเป็น
ต้นไป เพื่อให้เกิดตำแหน่งว่างสำหรับแทรกสมาชิกใหม่ลง
ไปก็จะได้เซตที่เรียงลำดับใหม่
ถ้ามีจำนวนข้อมูลเป็น n การจัดเรียงแบบแทรกจะมี
การจัดเรียงทั้งหมดเท่ากับ n − 1 รอบ จำนวนครั้ง
ของการเปรียบเทียบในแต่ละรอบแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ
ลักษณะการจัดเรียงของข้อมูลนั้น
กรณีที่ดีที่สุด คือ กรณีข้อมูลทั้งหมดจัดเรียงใน
ตำแหน่งที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว กรณีนี้ในแต่ละรอบ
มีการเปรียบเทียบเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นจำนวน
ครั้งของการเปรียบเทียบเป็นดังนี้
จำนวนครั้งของการเปรียบเทียบ = n − 1 ครั้ง
กรณีที่แย่ที่สุด คือ กรณีที่ข้อมูลมีการเรียงลำดับในตำแหน่ง
ที่กลับกัน เช่น ต้องการเรียงลำดับจากน้อยไปมาก แต่
ข้อมูลมีค่าเรียงลำดับจากมากไปน้อย จำนวนครั้งของการ
เปรียบเทียบ

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

DTS 08- 14/09/2552

กราฟ (Graph) เป็นโครงสร้างข้อมูล
แบบไม่ใช่เชิงเส้น อีกชนิดหนึ่ง กราฟเป็น
โครงสร้างข้อมูลที่มีการนำไปใช้ในงาน
ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน
เช่น การวางข่าย งานคอมพิวเตอร์ การ
วิเคราะห์เส้นทางวิกฤติ และปัญหาเส้นทางที่สั้นที่สุด
นิยามของกราฟ
กราฟ เป็นโครงสร้างข้อมูลแบบไม่ใช่เชิงเส้น
ที่ประกอบ ด้วยกลุ่มของสิ่งสองสิ่งคือ
(1) โหนด (Nodes) หรือ เวอร์เทกซ์(Vertexes)
(2) เส้นเชื่อมระหว่างโหนด เรียก เอ็จ (Edges)
กราฟที่มีเอ็จเชื่อมระหว่างโหนดสองโหนด
ถ้าเอ็จไม่มีลำดับ ความสัมพันธ์จะเรียกกราฟนั้นว่า
กราฟแบบไม่มีทิศทาง (Undirected Graphs)
และถ้ากราฟนั้นมีเอ็จที่มีลำดับ
ความสัมพันธ์หรือมีทิศทางกำกับด้วยเรียกกราฟ
นั้นว่า กราฟแบบมีทิศทาง(Directed Graphs)
บางครั้งเรียกว่า ไดกราฟ (Digraph)
ถ้าต้องการอ้างถึงเอ็จแต่ละเส้นสามารถ
เขียนชื่อเอ็จกำกับไว้ก็ได้
การแทนกราฟในหน่วยความจำ
ในการปฏิบัติการกับโครงสร้างกราฟ สิ่งที่
ต้องการจัดเก็บ จากกราฟโดยทั่วไปก็คือ เอ็จ ซึ่ง
เป็นเส้นเชื่อมระหว่างโหนดสองโหนด มีวิธีการ
จัดเก็บหลายวิธี วิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมา
ที่สุดคือ การเก็บเอ็จในแถวลำดับ 2 มิติ
การแทนกราฟด้วยแถวลำดับ2มิติ กรณีกราฟไม่มีทิศทาง
การแทนกราฟในหน่วยความจำด้วยวิธีเก็บ
เอ็จทั้งหมดใน แถวลำดับ 2 มิติ จะค่อนข้าง
เปลืองเนื้อที่ เนื่องจากมีบางเอ็จที่เก็บซ้ำ
อาจหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้โดยใช้แถวลำดับ 2 มิติ
เก็บโหนดและ พอยเตอร์ชี้ไปยงตำแหน่งของ
โหนดต่าง ๆ ที่สัมพันธ์ด้วย และใช้ แถวลำดับ
1 มิติเก็บโหนดต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับโหนด
ในแถวลำดับ 2 มิติ N2
กราฟในแถวลำดับ 2 มิติเก็บโหมดเเละพอยเตอร์ของกราฟ
การจัดเก็บกราฟด้วยวิธีเก็บโหนดและพอยน์เตอร์
นี้ยุ่งยาก ในการจัดการเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้องเก็บโหนด
และพอยน์เตอร์ในแถวลำดับ 2 มิติ และต้องจัดเก็บ
โหนดที่สัมพันธ์ด้วยในแถวลำดับ
1 มิติ อย่างไรก็ตามทั้งสองวิธีไม่เหมาะกับกราฟที่มีการ
เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา ควรใช้ในกราฟที่ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงตลอดการใช้งาน
เพราะถ้ามีการเปลี่ยนแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของกราฟจะ
กระทบกับส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าด้วยเสมอ
กราฟที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
อาจจะใช้วิธีแอดจาเซนซีลิสต์
(Adjacency List) ซึ่งเป็นวิธีที่คล้ายวิธี
จัดเก็บกราฟด้วยการเก็บโหนดและพอยน์
เตอร์ แต่ต่างกันตรงที่ จะใช้ ลิงค์ลิสต์แทน
เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
การท่องไปในกราฟ
การท่องไปในกราฟ (graph traversal) คือ
กระบวนการเข้าไปเยือนโหนดในกราฟ โดยมีหลักในการ
ทำงานคือ แต่ละโหนดจะถูกเยือนเพียงครั้งเดียว สำหรับ
การท่องไปในทรีเพื่อเยือนแต่ละโหนดนั้นจะมีเส้นทางเดียว
แต่ในกราฟระหว่างโหนดอาจจะมีหลายเส้นทาง ดังนั้น
เพื่อป้องกันการท่องไปในเส้นทางที่ซ้ำเดิมจึงจำเป็นต้องทำ
เครื่องหมายบริเวณที่ได้เยือนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เพื่อไม่ให้เข้าไปเยือนอีก สำหรับเทคนิคการท่องไปในกราฟมี2วิธีดังนี้
1. การท่องแบบกว้าง (Breadth First Traversal)
วิธีนี้ทำโดยเลือกโหนดที่เป็นจุดเริ่มต้น ต่อมาให้เยือนโหนด
อื่นที่ใกล้กันกับโหนดเริ่มต้นทีละระดับจนกระทั่งเยือนหมดทุกโหนดในกราฟ
2. การท่องแบบลึก (Depth First Traversal)
การทำงานคล้ายกับการท่องทีละระดับของทรี โดย
กำหนดเริ่มต้นที่โหนดแรกและเยือนโหนดถัดไปตาม
แนววิถีนั้นจนกระทั่งนำไปสู่ปลายวิถีนั้น จากนั้น
ย้อนกลับ (backtrack) ตามแนววิถีเดิมนั้น จนกระทั่ง
สามารถดำเนินการต่อเนื่องเข้าสู่แนววิถีอื่น ๆ เพื่อเยือน
โหนดอื่น ๆ ต่อไปจนครบทุกโหนด

DTS 07- 14/09/2552

ทรี (Tree) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ความสัมพันธ์
ระหว่าง โหนดจะมีความสัมพันธ์ลดหลั่นกันเป็นลำดับ
ชั้น (Hierarchical Relationship)
ได้มีการนำรูปแบบทรีไปประยุกต์ใช้ในงาน
ต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ส่วนมากจะใช้สำหรับแสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
แต่ละโหนดจะมีความสัมพันธ์กับโหนดใน
ระดับที่ต่ำลงมา หนึ่งระดับได้หลาย ๆ โหนด
เรียกโหนดดังกล่าวว่า โหนดแม่ (Parent or
Mother Node)
โหนดที่อยู่ต่ำกว่าโหนดแม่อยู่หนึ่งระดับ
เรียกว่า โหนดลูก (Child or Son Node)
โหนดที่อยู่ในระดับสูงสุดและไม่มีโหนดแม่
เรียกว่า โหนดราก (Root Node)
โหนดที่มีโหนดแม่เป็นโหนดเดียวกัน
เรียกว่า โหนดพี่น้อง (Siblings)
โหนดที่ไม่มีโหนดลูก เรียกว่า
โหนดใบ (Leave Node)
เส้นเชื่อมแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
โหนดสองโหนด
การแปลงทรีทั่วไปให้เป็นไบนารีทรี
ขั้นตอนการแปลงทรีทั่วๆ ไปให้เป็น
ไบนารีทรี มีลำดับขั้นตอนการแปลง ดังต่อไปนี้
1. ให้โหนดแม่ชี้ไปยังโหนดลูกคนโต แล้วลบ
ความสัมพันธ์ ระหว่างโหนดแม่และโหนดลูกอื่น ๆ
2. ให้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโหนดพี่น้อง
3. จับให้ทรีย่อยทางขวาเอียงลงมา 45 องศา
การท่องไปในไบนารีทรี
ปฏิบัติการที่สำคัญในไบนารีทรี คือ การท่องไปใน
ไบนารีทรี (Traversing Binary Tree) เพื่อเข้าไปเยือนทุก ๆ
โหนดในทรี ซึ่งวิธีการท่องเข้าไปต้องเป็นไปอย่างมีระบบแบบ
แผน สามารถเยือนโหนดทุก ๆ โหนด ๆ ละหนึ่งครั้ง
วิธีการท่องไปนั้นมีด้วยกันหลายแบบแล้วแต่ว่าต้องการลำดับ
ขั้นตอนการเยือนอย่างไร โหนดที่ถูกเยือน
อาจเป็นโหนดแม่ (แทนด้วย N)
ทรีย่อยทางซ้าย (แทนด้วย L)
หรือทรีย่อยทางขวา (แทนด้วย R
วิธีการท่องเข้าไปในทรี 6 วิธี คือ NLR
LNR LRN NRL RNL และ RLN แต่
วิธีการท่องเข้าไปไบนารีทรีที่นิยมใช้
กันมากเป็นการท่องจากซ้ายไปขวา 3 แบบแรก
เท่านั้นคือ NLR LNR และ LRN ซึ่งลักษณะ
การนิยามเป็นนิยามแบบ รีเคอร์ซีฟ
(Recursive) ซึ่งขั้นตอนการท่องไปในแต่ละแบบมีดังนี้
1. การท่องไปแบบพรีออร์เดอร์
(Preorder Traversal)
เป็นการเดินเข้าไปเยือนโหนดต่าง ๆ ในทรีด้วยวิธี
NLR มีขั้นตอนการเดินดังต่อไปนี้
(1) เยือนโหนดราก
(2) ท่องไปในทรีย่อยทางซ้ายแบบพรีออร์เดอร์
(3) ท่องไปในทรีย่อยทางขวาแบบพรีออร์เดอร์
เส้นทางการท่องในทรีแบบพรีออร์เดอร์ จะได้ ABDGCEHIF
2.การท่องไปแบบอินออร์เดอร์
(Inorder Traversal)
เป็นการเดินเข้าไปเยือนโหนดต่าง ๆ
ในทรีด้วยวิธี LNR
มีขั้นตอนการเดินดังต่อไปนี้
(1) ท่องไปในทรีย่อยทางซ้ายแบบอินออร์เดอร์
(2) เยือนโหนดราก
(3) ท่องไปในทรีย่อยทางขวาแบบอินออร์เดอร์
เส้นทางการท่องในทรีแบบอินออร์เดอร์ จะได้ DGBAHEICF
การท่องไปแบบโพสออร์เดอร์
(Postorder Traversal)
เป็นการเดินเข้าไปเยือนโหนดต่าง ๆ
ในทรีด้วยวิธี LRN มีขั้นตอนการเดินดังต่อไปนี้
(1) ท่องไปในทรีย่อยทางซ้ายแบบโพสต์ออร์เดอร์
(2) ท่องไปในทรีย่อยทางขวาแบบโพสต์ออร์เดอร์
(3) เยือนโหนดราก
เส้นทางการท่องในทรีแบบโพสต์ออร์เดอร์ จะได้ GDBHIEFCA
เอ็กซ์เพรสชันทรี (Expression Tree)
เป็นการนำเอาโครงสร้างทรีไปใช้เก็บนิพจน์
ทางคณิตศาสตร์โดยเป็นไบนารีทรี ซึ่งแต่ละโหนด
เก็บตัวดำเนินการ (Operator) และและตัวถูกดำเนินการ
(Operand) ของนิพจน์คณิตศาสตร์นั้น ๆ ไว้ หรือ
อาจจะเก็บค่านิพจน์ทางตรรกะ (Logical Expression)
นิพจน์เหล่านี้เมื่อแทนในทรีต้องคำนึงลำดับขั้นตอน
ในการคำนวณตามความสำคัญของเครื่องหมายด้วย
ไบนารีเซิร์ชทรี
ไบนารีเซิร์ชทรี (Binary Search Tree)
เป็นไบนารีทรีที่มีคุณสมบัติที่ว่าทุก ๆ โหนด
ในทรี ค่าของโหนดรากมีค่ามากกว่าค่าของทุก
โหนดในทรีย่อยทางซ้าย และมีค่าน้อยกว่า
หรือเท่ากับค่าของทุกโหนดในทรีย่อยทางขวา
และในแต่ละทรีย่อยก็มี คุณสมบัติเช่นเดียวกัน
ไบนารีเซิร์ชทรีของเลขจำนวน ไบนารีเซิร์ชทรีของสัตว์
ปฏิบัติการในไบนารีเซิร์ชทรี ปฏิบัติการ
เพิ่มโหนดเข้าหรือดึงโหนดออกจากไบนารีเซิร์ชทรี
ค่อนข้างยุ่งยากกว่าปฏิบัติการในโครงสร้างอื่น ๆ
เนื่องจากหลังปฏิบัติการเสร็จเรียบร้อยแล้วต้อง
คำนึงถึงความเป็นไบนารีเซิร์ชทรีของทรีนั้นด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

DTS 06-20/08/2552

สแตก (Stack) เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ ข้อมูลแบบลิเนียร์ลิสต์
ที่มีคุณสมบัติ ที่ว่า การเพิ่มหรือลบข้อมูลในสแตก จะกระทำที่
ปลายข้างเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า Top ของสแตก (TopOf Stack)
และ ลักษณะที่สำคัญของสแตกคือ ข้อมูลที่ใส่หลังสุดจะถูกนำออกมา
จากสแตกเป็นลำดับแรกสุด เรียกคุณสมบัตินี้ว่าLIFO (Last In First Out)
การดำเนินงานพื้นฐานของสแตกการทำงานต่าง ๆ ของสแตกจะ กระทำที่ปลายข้างหนึ่งของสแตกเท่านั้น
ดังนั้นจะต้องมีตัวชี้ตำแหน่ง ข้อมูลบนสุดของสแตกด้วยการทำงานของสแตกจะ
ประกอบด้วยกระบวนการ 3 กระบวนการที่สำคัญ คือ
1.Push คือ การนำข้อมูลใส่ลงไปในสแตกเช่น
สแตก s ต้องการใส่ข้อมูล i ในสแตก จะได้push (s,i) คือ ใส่ข้อมูล i
ลงไปที่ทอปของสแตก sในการเพิ่มข้อมูลลงในสแตก จะต้องทำการตรวจสอบว่าสแตก
เต็มหรือไม่ ถ้าไม่เต็มก็สามารถเพิ่มข้อมูลลงไปในสแตกได้ แล้วปรับตัวชี้ตำแหน่งให้
ไปชี้ที่ตำแหน่งข้อมูลใหม่ ถ้าสแตกเต็ม (Stack Overflow) ก็จะไม่สามารถเพิ่ม
ข้อมูลเข้าไปในสแตกได้อีก

2. Pop คือ การนำข้อมูลออกจากส่วนบนสุดของสแตกเช่นต้องการนำข้อมูลออกจากสแตก sไปไว้ที่ตัวแปร iจะได้ i = pop (s)การนำข้อมูลออกจาก สแตกถ้าสแตกมีสมาชิกเพียง 1ตัว แล้วนำสมาชิกออกจากสแตก จะเกิดสภาวะสแตกว่าง
(Stack Empty) คือ ไม่มีสมาชิกอยู่ในสแตกเลยการแทนที่ข้อมูลของสแตกสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. การแทนที่ข้อมูลของสแตกแบบลิงค์ลิสต์
2. การแทนที่ข้อมูลของสแตก

การแทนที่ข้อมูลของสแตกแบบลิงค์ลิสต์จะประกอบไปด้วย2 ส่วน คือ
1. Head Node จะประกอบไปด้วย 2 ส่วน
คือ top pointer และจำนวนสมาชิกในสแตก
2. Data Node จะประกอบไปด้วยข้อมูล (Data) และพอยเตอร์ ที่ชี้ไปยังข้อมูลตัวถัดไป
การประยุกต์ใช้สแตกการประยุกต์ใช้สแตก จะใช้ในงานด้านปฏิบัติการของ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ขั้นตอนการทำงานต้องการเก็บข่าวสารอันดับแรกสุดไว้ใช้หลังสุด
เช่น การทำงานของโปรแกรมแปลภาษานำไปใช้ในเรื่องของการโปรแกรมที่เรียกใช้โปรแกรมย่อย
การคำนวณนิพจน์ทางคณิตศาสตร์ และรีเคอร์ชั่น (Recursionขั้นตอนการแปลงจากนิพจน์ Infix เป็นนิพจน์Postfix
1. อ่านอักขระในนิพจน์ Infix เข้ามาทีละตัว
2. ถ้าเป็นตัวถูกดำเนินการจะถูกย้ายไปเป็นตัวอักษรในนิพจน์ Postfix
3. ถ้าเป็นตัวดำเนินการ จะนำค่าลำดับความสำคัญของตัว ดำเนินการที่อ่านเข้ามาเทียบกับค่าลำดับความสำคัญของตัวดำเนินการ
ที่อยู่บนสุดของสแตก- ถ้ามีความสำคัญมากกว่า จะถูก push ลงในสแตก- ถ้ามีความสำคัญน้อยกว่าหรือเท่ากัน จะต้อง pop
ตัวดำเนินการที่อยู่ในสแตกขณะนั้นไปเรียงต่อกับตัวอักษรในนิพจน์ Postfix4. ตัวดำเนินการที่เป็นวงเล็บปิด “)”
จะไม่ push ลงในสแตกแต่มีผลให้ตัวดำเนินการอื่น ๆ ถูก pop ออกจากสแตกนำไป เรียงต่อกันในนิพจน์ Postfix จนกว่าจะเจอ
“(”popวงเล็บเปิดออกจากสแตกแต่ไม่นำไปเรียงต่อ5. เมื่อทำการอ่านตัวอักษรในนิพจน์ Infixหมดแล้ว
ให้ทำการ Pop ตัวดำเนินการทุกตัวในสแตกนำมาเรียงต่อในนิพจน์Postfix

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

DTS 05-2/082552

ลิงค์ลิสต์ (Linked List) เป็นวิธีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องของอิลิเมนต์ต่าง ๆ โดยมีพอยเตอร์เป็นตัวเชื่อมต่อ


แต่ละอิลิเมนท์ เรียกว่าโนด (Node) ซึ่งในแต่ละโนดจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือData จะเก็บข้อมูลของอิลิเมนท์ และ


ส่วนที่สอง คือ Link Field จะทำหน้าที่เก็บตำแหน่งของโนดต่อไปในลิสต์


โครงสร้างข้อมูลแบบลิงค์ลิสต์


โครงสร้างข้อมูลแบบลิงค์ลิสต์จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ


1. Head Structure จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน


ได้แก่ จำนวนโหนดในลิสต์ (Count) พอยเตอร์ที่ชี้ไปยังโหนดที่เข้าถึง (Pos) และพอยเตอร์ที่ชี้ไปยัง


โหนดข้อมูลแรกของลิสต์ (Head)


2. Data Node Structure จะประกอบไปด้วยข้อมูล(Data)


และพอยเตอร์ที่ชี้ไปยังข้อมูลตัวถัดไปกระบวนงานและฟังก์ชั่นที่ใช้ดำเนินงานพื้นฐาน


1. กระบวนงาน Create Listหน้าที่ สร้างสิสต์ว่างผลลัพธ์ ลิสต์ว่าง

2. กระบวนงาน Insert Nodeหน้าที่เพิ่มข้อมูลลงไปในลิสต์บริเวณตำแหน่งที่ต้องการข้อมูลนำเข้า ลิสต์ ข้อมูล


และตำแหน่งผลลัพธ์ ลิสต์ที่มีการเปลี่ยนแปลง

3. กระบวนงาน Delete Nodeหน้าที่ ลบสมาชิกในลิสต์บริเวณตำแหน่งที่ต้องการข้อมูลนำเข้า ข้อมูลและตำแหน่งผลลัพธ์ ลิสต์ที่มีการเปลี่ยนแปลง

4. กระบวนงาน Search listหน้าที่ ค้นหาข้อมูลในลิสต์ที่ต้องการข้อมูลนำเข้าลิสต์ผลลัพธ์ ค่าจริงถ้าพบข้อมูล ค่าเท็จถ้าไม่พบข้อมูล
5. กระบวนงาน Traverseหน้าที่ ท่องไปในลิสต์เพื่อเข้าถึงและประมวลผลข้อมูลนำเข้าลิสต์ผลลัพธ์ ขึ้นกับการประมวลผล เช่นเปลี่ยนแปลงค่าใน node , รวมฟิลด์ในลิสต์ ,คำนวณค่าเฉลี่ยของฟิลด์ เป็นต้น

Linked list traversal

6. กระบวนงาน Retrieve Nodeหน้าที่ หาตำแหน่งข้อมูลจากลิสต์ข้อมูลนำเข้าลิสต์ผลลัพธ์ ตำแหน่งข้อมูลที่อยู่ในลิสต์
7. ฟังก์ชั่น EmptyListหน้าที่ ทดสอบว่าลิสต์ว่างข้อมูลนำเข้า ลิสต์ผลลัพธ์ เป็นจริง ถ้าลิสต์ว่างเป็นเท็จ ถ้าลิสต์ไม่ว่าง



Algorithm emptyList (val pList )

Pre pList is a pointer to a valid list head structure

Return true if list empty, false if list contains data

1. Return (pList->count equal to zero)

End emptyList


10. กระบวนงาน destroy listหน้าที่ ทำลายลิสต์
ข้อมูลนำเข้า ลิสต์
ผลลัพธ์ ไม่มีลิสต์

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

DTS 04-15/072552

โครงสร้างข้อมูลแบบเซ็ต
เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ข้อมูลแต่ละตัวไม่มีความสัมพันธ์กันในภาษาซี
จะไม่มีประเภทข้อมูลแบบเซ็ตนี้เหมือนกับในภาษาปาสคาล
แต่สามารถใช้หลักการของการดำเนินงานแบบเช็ตมาใช้ได้
วิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้น
- จะต้องกำหนดเซ็ตของผู้เรียนที่ลงทะเบียนเรียนในแต่ละวิชา
- นำเซ็ตดังกล่าวที่ได้มาทำการ intersection กัน หากมีเซ็ตใดที่
ทำการ intersect กันแล้ว มีข้อมูลสมาชิกในเซ็ตที่ซ้ำกันอยู่จะ
ไม่สามารถจัดให้วิชาดังกล่าวอยู่ในวันเวลาเดียวกันได้ตัวอย่างดังกล่าว
เป็นการนำแนวความคิดเรื่องการจัดการแบบเช็ตมาประยุกใช้
งานโครงสร้างข้อมูลแบบสตริงสตริง (String) หรือ สตริงของอักขระ
(CharacterString) เป็นข้อมูลที่ประกอบไปด้วยตัวอักษร
ตัวเลขหรือเครื่องหมายเรียงติดต่อกันไปรวมทั้งช่องว่างการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์
ที่เกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นสตริงมีการนำไปใช้สร้างโปรแกรมประเภทบรรณาธิการ
ข้อความ(text editor) หรือโปรแกรมประเภทประมวลผลคำ (wordprocessing)
ซึ่งมีการทำงานที่อำนวยความสะดวกหลายอย่างเช่น การตรวจสอบข้อความ
การจัดแนวข้อความในแต่ละย่อหน้า และการค้นหาคำ เป็นต้น

การกำหนดค่าคงตัวสตริงสามารถกำหนดได้ทั้งนอกและในฟังก์ชัน
เมื่อกำหนดไว้นอกฟังก์ชัน ชื่อค่าคงตัวจะเป็นพอยเตอร์ชี้ไปยังหน่วยความจำ
ที่เก็บสตริงนั้น เมื่อกำหนดไว้ในฟังก์ชัน จะเป็นพอยเตอร์ไปยังหน่วยความจำ
ที่เก็บตัวมันเองการกำหนดค่าให้กับสตริงนั้น เราจะใช้เครื่องหมาย doublequote (“ ”)
เช่น “abc” คือ ชุดของอักขระที่มีขนาด 4 (รวม \0 ด้วย)

ข้อสังเกต

string constant are different from character constant

#define NME “Semi”

main ( ){
char *cpntr;cpntr=NME;
printf(“con\n”);printf(“%s, %u, %c\n”, “con”, “duc”,*“tor”);
printf(““%s, %u, %c\n”, NME, NME,*NME);
printf(““%s, %u, %c\n”, cpntr, cpntr,*cpntr);
}


ผลการรันโปรแกรม

concon, 37,t
Semi, 16,s
Semi, 16, S
การกำหนดค่าคงตัวสตริงให้แก่ตัวแปรพอยต์เตอร์และอะเรย์สามารถกำหนด
ค่าคงตัวสตริงให้พอยเตอร์หรืออะเรย์ได้ในฐานะค่าเริ่มต้น

เช่น main ( ){

char ary[ ] = “This is the house. ”;
char *cpntr=“This is the door.”;
printf(“%s %s”,ary,cpntr);

ผลการรันโปรแกรมจะเห็นได้ว่าการใช้งานดูไม่แตกต่างกันแต่ aryเป็นตัวแปรอะเรย์
ค่าที่ให้จะต้องเป็นค่าข้อมูลในอะเรย์ส่วน cpntrเป็นพอยเตอร์ ค่าที่ให้นั้นไม่ใช่ค่าข้อมูล
แต่เป็นค่าแอดเดรสเริ่มต้นของสตริง(ค่าคงตัวสตริงเป็นทั้งข้อมูลสตริงและพอยเตอร์)
นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มลดค่าตัวแปรพอยเตอร์ได้ แต่สำหรับอะเรย์ทำไม่ได้

การกำหนดตัวแปรสตริงในการกำหนดตัวแปรของสตริงอาศัยหลักการของอะเรย์
เพราะ สตริงก็คืออะเรย์ของอักขระที่ปิดท้ายด้วยnull character (\0)
และมีฟังก์ชันพิเศษสำหรับทำงานกับสตริงโดยเฉพาะเช่นต้องการสตริงสำหรับเก็บชื่อบุคคลยาว
ไม่เกิน 30อักขระต้องกำหนดเป็นอะเรย์ขนาด 31 ช่อง เพื่อเก็บ null character อีก 1 ช่อง

main ( ) {

char name[31];

printf(“Hi, What’s your name?\n”);

gets(name);

printf(“Nice to meet you, %s\n”);
}

ผลการรันโปรแกรม

Hi, What’s your name?
Jame Smith
Nice to meet you, Jame Smith

การดำเนินการเกี่ยวกับสตริง
ในการดำเนินการเกี่ยวกับสตริง จะมีฟังก์ชันที่อยู่
ในแฟ้ม ข้อมูล stdio.h เก็บอยู่ใน C Library อยู่แล้ว
สามารถนำมาใช้ได้ โดยการใช้คำสั่ง #include ในการ
เรียกใช้ เช่น
- ฟังก์ชัน strlen(str) ใช้หาความยาวของสตริง
- ฟังก์ชัน strcpy (str1,str2) ใช้คัดลอกข้อมูล
จาก string หนึ่งไปยังอีก string หนึ่ง
- ฟังก์ชัน strcat(str1,str2) ใช้เชื่อมต่อข้อความ 2 ข้อความเข้าด้วยกัน
- ฟังก์ชัน strcmp(str1,str2 ) ใช้เปรียบเทียบ
ข้อความ 2 ข้อความว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ ถือหลักการ
เปรียบเทียบแบบพจนานุกรม เช่น abcda จะมีค่าน้อย
กว่า abcde และ abcdf จะมีค่ามากกว่า abcde ค่าที่
เท่ากัน คือ ค่าที่เหมือนกัน เช่น abcd กับ abcd สำหรับ
อักษรตัวเล็กตัวใหญ่ จะถือว่าอักษรตัวใหญ่มีค่าน้อยกว่า
อักษรตัวเล็ก ตามลำดับรหัส ASCII

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

DTS03 5/072552

อะเรย์เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เรียกว่า Linear List มีลักษณะคล้ายเซ็ตในคณิตศาสตร์ คือ อะเรย์จะประกอบด้วยสมาชิกที่มีจำนวนคงที่ มีรูปแบบข้อมูลเป็นแบบเดียวกัน สมาชิกแต่ละตัวใช้เนื้อที่จัดเก็บที่มีขนาดเท่ากัน เรียงต่อเนื่องในหน่วยความจำหลัก

อาร์เรย์ 1 มิติเป็นตัวแปรที่เก็บข้อมูลเพียงแถวเดียวหรือชั้นเดียวเช่นในการคำนวณหาสมาชิกของอาร์เรย์ 1 มิติทำได้ดังนี้จำนวนสมาชิกของอาร์เรย์ = (u-l)+1u คือค่าสูงสุด หรือ Upper boundl คือค่าต่ำสุด หรือ Lower bound ส่วน 2 มิติสามารถหาได้ดังนี้จำนวนสมาชิก = M x N
รูปแบบของการประกาศตัวแปรอาร์เรย์มิติเดียวtype array-name[n];type คือ ชนิดของตัวแปรอาร์เรย์ที่จะสร้างขึ้น เช่น int,float,char เป็นต้นarray-name คือ ชื่อของตัวแปรอาร์เรย์ที่ต้องตั้งให้สื่อและเข้ากับชนิดของตัวแปรและจะต้องไม่ไปตรงกับคำสงวนของภาษาซีด้วยn คือขนาดของตัวแปรอาร์เรย์ที่จะสร้างขึ้น

อาร์เรย์ 2 มิติมีลักษณะการกำหนดตำแหน่งแบบแถวและคอลัมน์รูปแบบของการประกาศตัวแปรอาร์เรย์ 2 มิติtype array-name[n][m];type คือ ชนิดของตัวแปรอาร์เรย์ที่จะสร้างขึ้น เช่น int,float,char เป็นต้นarray-name คือ ชื่อของตัวแปรอาร์เรย์ที่ต้องตั้งให้สื่อและเข้ากับชนิดของตัวแปรและจะต้องไม่ไปตรงกับคำสงวนของภาษาซีด้วยn คือ จำนวนแถวของตัวแปรอาร์เรย์m คือ จำนวนคอลัมน์ของตัวแปรอาร์เรย์เช่น int num[3][5];
Structure โครงสร้างข้อมูลหมายถึง การที่นำข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น ข้อมูลของนักศึกษาที่อาจประกอบด้วยชื่อ,นามสกุล,อายุ,เพศ,ชั้นเรียน มารวมกันและจัดทำเป็นโครงสร้างข้อมูล

struct คือ คำที่ใช้กำหนดโครงสร้างข้อมูล(ต้องมีเสมอ)name คือ ชื่อของโครงสร้างข้อมูลที่จะสร้างขึ้นtype var-1,type var-2 คือชื่อตัวแปรในกลุ่มโครงสร้างข้อมูลstruct-variable คือชื่อของตัวแปรชนิดโครงสร้างที่ต้องการสร้างขึ้นจะมีลักษณะโครงสร้างภายในเหมือนกับโครงสร้างข้อมูลที่กำหนดตัวอย่าง struct student student1;

การอ้างถึงสมาชิกในตัวแปรชนิดโครงสร้าง
struct-name.variable-namestruct-name คือ ชื่อของตัวแปรชนิดโครงสร้าง (ไม่ใช่ชื่อโครงสร้าง). คือเครื่องหมายขั้นระหว่างชื่อตัวแปรชนิดโครงสร้างกับตัวแปรที่เป็นสมาชิก

variable-name คือชื่อของตัวแปรที่เป็นสมาชิกการกำหนดข้อมูลให้ตัวแปรชนิดโครงสร้างเราสามารถกำหนดได้เหมือนตัวแปรทั่วไปแต่ต้องอ้างอิงถึงสมาชิกให้ถูกต้อง เช่น student1.age = 15;student1.sex = 'M'; กรณีถ้าเป็นอาร์เรย์ของตัวแปรชนิดโครงสร้างสามารถเขียนได้ดังนี้ student1[0].age = 15;

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

DTS01 16/06/2552

ปฐมนิเทศ
โครงสร้างข้อมูล (DATA STRUCTURE)

ผู้สอน : อาจารย์ปรมัตถ์ปัญปรัชญ์ ต้องประสงค์
E-mail : phorramatpanyaprat@hotmail.com

การเก็บคะแนน 100 แบ่งออกเป็น 60:40

- การนำเสนองานและมีส่วนร่วมในกิจกรรมเรียน 10

- จัดทำรายงาน/แบบฝึกหัด 30

- mid 20 - Final 40

*ความสำคัญของวิชาโครงสร้างข้อมูล

*โครงสร้างข้อมูล หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่อยู่ในโครงสร้างนั้น ๆ เช่น การสร้างบ้าน ก็ต้องมีส่วนประกอบในการสร้าง ได้แก่ หิน ทราย ปูน เป็นต้น

ให้ไปสมัคร E-mail ของ gmail ก่อน โดยการตั้ง ชื่อ E-mail คือ u ตามด้วยรหัสประจำตัว

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

DTS02 23/06/2552

โครงสร้างข้อมูล เกิดจากคำสองคำได้แก่ “โครงสร้าง” และ “ข้อมูล” ซึ่งคำว่า “โครงสร้าง” เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ดังนั้นโครงสร้างข้อมูลจึงหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่อยู่ในโครงสร้างนั้นๆประเภทของโครงสร้างข้อมูลในภาษาคอมพิวเตอร์จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. โครงสร้างข้อมูลทางกายภาพ- เป็นโครงสร้างข้อมูลที่ใช้โดยทั่วไปในภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะข้อมูล
1.1 ข้อมูลเบื้องต้น Primitive Data Typesได้แก่ จำนวนเต็ม จำนวนจริง และตัวอักขระ
1.2 ข้อมูลโครงสร้าง Structured Data Typesได้แก่ แถวลำดับ ระเบียนข้อมูล และแฟ้มข้อมูล
2. โครงสร้างข้อมูลทางตรรกะ-เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เกิดจากจินตนาการของผู้ใช้เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาในโปรแกรมที่สร้างขึ้น แบ่ง เป็น 2 ประเภท
2.1 โครงสร้างข้อมูลเชิงเส้น Linear Data Structuresความสัมพันธ์ของข้อมูลจะเรียงต่อเนื่องกัน เช่น ลิสต์ สแตก คิว สตริง
2.2 โครงสร้างข้อมูลทางตรรกะ Non-Linear Data Structuresข้อมูลแต่ละตัวสามารถมีความสัมพันธ์กับข้อมูลอื่นได้หลายตัวได้แก่ ทรี และกราฟ
ในการเลือกใช้โครงสร้างข้อมูลแบบใดนั้น จะต้องคำนึงถึง
1 โครงสร้างข้อมูลนั้นสามารถสร้างความสัมพันธ์ให้กับข้อมูลชุดนั้น ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
2 โครงสร้างนั้นต้องง่ายต่อการดำเนินการในระบบงาน
การแทนที่ข้อมูลในหน่วยความจำหลัก
ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะมีการแทนที่ข้อมูลในหน่วยความจำหลักอยู่ 2 วิธี คือ
1 การแทนที่ข้อมูลแบบ สแตติก ข้อมูลที่มีการจองเนื้อที่แบบคงที่แน่นอนต้องมีการกำหนดขนาดก่อนการใช้งาน
2 การแทนที่ข้อมูลแบบไดนามิก ข้อมูลที่ไม่ต้องจองเนื้อที่ขนาดของเนื้อที่ยืดหยุ่นได้ตามความต้องการของผู้ใช้หน่วยความจำที่ไม่ใช้สามารถส่งคืนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกขั้นตอนวิธีที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

1. มีความถูกต้อง
2. ใช้เวลาในการปฏิบัติงานน้อยที่สุด
3. สั้น กระชับ มีเฉพาะขั้นตอนที่จำเป็นเท่านั้น
4. ใช้หน่วยความจำน้อยที่สุด
5. มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
6. ใช้เวลาในการพัฒนาน้อยที่สุด
7. ง่ายต่อการทำความเข้าใจภาษาขั้นตอนวิธี Algorithm Languageเป็นภาษาสำหรับเขียนขั้นตอนวิธี มีรูปแบบที่สั้น กระชับและรัดกุมและมีข้อกำหนด ดังต่อไปนี้(การรับค่านั่นเอง)
1. ตัวแปรจะต้องเขียนแทนด้วยตัวอักษรหรือตัวอักษรผสมตัวเลข
2. การกำหนดค่าให้ตัวแปร ใช้เครื่องหมาย
3. นิพจน์ที่เป็นการคำนวณจะมีลำดับขั้นของการคำนวณตามลำดับนิพจน์ที่เป็นตรรกศาสตร์ จะใช้เครื่องหมายในการเปรียบเทียบ คือ= เท่ากับ = ไม่เท่ากับ< น้อยกว่า > มากกว่า≤ น้อยกว่าหรือเท่ากับ ≥ มากกว่าหรือเท่ากับ
4. ข้อความไปยังขั้นตอน ใช้รูปแบบ คือgoto เลขที่ขั้นตอน
5. การเลือกทำตามเงื่อนไข จะต้องตรวจสอบเงื่อนไขก่อนทำงาน มีรูปแบบดังนี้- แบบทางเลือกเดียว ใช้รูปแบบ คือif (condition) then statement 1- แบบสองทางเลือก ใช้รูปแบบ คือif (condition) then statement 1else statement
6. การทำงานแบบซ้ำ- แบบทดสอบเงื่อนไขที่ต้นวงรอบ มีรูปแบบ ดังนี้while (condition) dostatement- แบบทำซ้ำด้วยจำนวนครั้งของการทำซ้ำคงที่ มีรูปแบบfor a=b to n by c dostatement
7. คำอธิบาย เป็นข้อความที่อธิบายรายละเอียดของขั้นตอนการทำงาน จะอยู่ในเครื่องหมาย /

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Record-23/06/09

#include<stdio.h>
#include<string.h>
void main()
{
struct weapons
{
char customer[30];
char address[30];
char group[20];
char model[30];
float generation;
int serial;
unsigned int personal_id;
float price;

}gun;

strcpy(gun.customer,"Pooh");
strcpy(gun.address,"bangkok");
strcpy(gun.group,"vip");
strcpy(gun.model,"short");
gun.generation=0.38;
gun.serial=5766;
gun.personal_id=5898;
gun.price= 38000.00;

printf("Customer:%s\n",gun.customer);
printf("Address:%s\n",gun.address);
printf("Group:%s\n",gun.group);
printf("Model:%s\n",gun.model);
printf("Generation:%f\n",gun.generation);
printf("Serial:%d\n",gun.serial);
printf("Personal_id:%d\n",gun.personal_id);
printf("Price:%f\n",gun.price);

}

ประวัติ
















ชื่อ นาย ภูวดล ภูฆัง ชื่อเล่น ดล

รหัสประจำตัว 50132792079

poowadon pookung

หลักสูตร การบริหารธุรกิจ (คอมพิวเตอร์ธุรกิจ)

คณะวิทยาการจัดการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

Tel 0841457507

E-mail: u50132792079@gmail.com